วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พฤติกรรมที่นำสู่ความสุข

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  เมื่อถามหลายๆ คนว่าอะไรคือเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต คำตอบหนึ่งที่ผมมักจะได้รับก็หนีไม่พ้นเรื่องของความสุข จะสังเกตว่าในปัจจุบันเราได้ให้ความสำคัญกับความสุขกันมากขึ้น ในระดับมหภาคนั้นก็มีการวัดความสุขของคนในแต่ละประเทศ ส่วนในระดับบุคคลนั้นเราก็มีความพยายามที่จะแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่างๆ ที่น่าสนใจคือในเชิงวิชาการ  การค้นคว้าวิจัยเพื่อหาปัจจัยที่นำไปสู่ความสุข
ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

   เมื่อถามหลายๆ คนว่าอะไรคือเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต คำตอบหนึ่งที่ผมมักจะได้รับก็หนีไม่พ้นเรื่องของความสุข จะสังเกตว่าในปัจจุบันเราได้ให้ความสำคัญกับความสุขกันมากขึ้น ในระดับมหภาคนั้นก็มีการวัดความสุขของคนในแต่ละประเทศ ส่วนในระดับบุคคลนั้นเราก็มีความพยายามที่จะแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่างๆ ที่น่าสนใจคือในเชิงวิชาการ  การค้นคว้าวิจัยเพื่อหาปัจจัยที่นำไปสู่ความสุขนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนจากการศึกษาในเชิงจิตวิทยาหรือปรัชญา ไปสู่เรื่องของวิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้เริ่มมีการทดลองจำนวนมาก เพื่อแสวงหาว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เรามีความสุข  และ สัปดาห์นี้ เรามาลองดูกันนะครับ ว่า จากผลการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์เหล่านั้น เขามีข้อเสนอแนะกันอย่างไรในการทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

การ จะสร้างความสุขได้นั้น ควรจะเริ่มจากการหยุดพัก หยุดคิด และหยุดวิ่งวุ่นวายในชีวิตประจำวัน และหันมาชื่นชมต่อสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอดีตให้มากขึ้น เนื่อง จากวิถีการดำรงชีวิตของเราในปัจจุบันจะไม่หยุดนิ่ง และวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การได้หยุดพักนิ่งๆ แล้วค่อยๆ ชื่นชม และให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเราและรอบๆ ตัว ก็จะนำพาความสุขสู่ตัวเราได้ ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพการดำรงชีวิตปัจจุบันที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เราจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่ได้มีเวลาในการเพ่งพิจารณาและชื่นชมกับสิ่งเหล่า นั้น ดังนั้น การชื่นชม และให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ น้อยเหล่านี้ ก็ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้
ประการที่สอง คือ ให้หยุดเปรียบเทียบ โดย เฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบระหว่างตนเองกับผู้อื่น ถึงแม้ทฤษฎีการจัดการของต่างประเทศนั้นให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ และมีแนวทางในการพัฒนาตนเองมากขึ้น แต่ถ้าอยากมีความสุขนั้น เราควรจะหยุดมองและเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นครับ เนื่อง จากเมื่อเราเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากจะมี อยากจะได้ เหมือนที่ผู้อื่นมี และเมื่อเราไม่สามารถ มี หรือได้ เหมือนผู้อื่นแล้ว เราก็จะไม่มีความสุข เราจะรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่า ทำให้เกิดสูญเสียความมั่นใจ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบในเรื่องใดก็ตาม ถ้าอยากจะมีความสุขก็ควรจะหยุดการเปรียบเทียบนั้นซะ และหันมามองในความสำเร็จของตนเอง หรือสิ่งที่ตนเองทำได้จะนำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่มากขึ้น
เรื่อง ของการเปรียบเทียบกับความสุขนั้น มีการทดลองที่มาสนับสนุนหลายอย่างครับ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเงินและความสุข สิ่งที่พบก็คือการที่เรามีเงินมากหรือเงินน้อยนั้นไม่ได้ทำให้เรามีความสุข มากขึ้นหรือน้อยลง แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรานำเงินหรือรายได้ที่เราหามาได้เปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้วความทุกข์ก็ จะเริ่มมาเยือน เคยอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เขาพบว่า ถ้าเราไม่ได้รับเงินเดือนเพิ่ม แต่เพื่อนได้เพิ่มเงินเดือน ความสุขเราจะลดลง แต่ถ้าเราได้เงินเดือนเพิ่ม ในขณะที่เพื่อนไม่ได้เงินเดือนเพิ่ม ความสุขของเราจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ถ้าอยากจะแสวงหาความสุขนั้น ขอให้หยุดเปรียบเทียบนะครับ

พฤติกรรมประการที่สาม ที่จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้นั้น ก็คือ อย่าให้ความสำคัญกับเรื่องของเงินมากเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิต มี งานวิจัยที่ชี้ให้เห็นครับว่าคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของเงินเป็นอันดับ ต้นๆ ในชีวิตนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะมีความทุกข์ ความหดหู่ ความไม่มั่นใจในตนเอง จริงอยู่นะครับที่เงินเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรานำเงินเป็นตัวตั้ง ความสุขของเราก็จะเริ่มหดหายไป แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง ก็คือ ถ้าเราขยัน ซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงาน มีความฉลาดเฉลียวในการทำงาน สุดท้ายเงินก็จะมาหาเราเอง ผมเคยคุยกับคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่มีเป้าหมายในชีวิตที่อยากจะช่วยเหลือผู้ อื่น แต่เขากลับมองว่าการที่เขาจะช่วยผู้อื่นได้นั้น เขาจะต้องมีเงินก่อน ซึ่งทำให้ชีวิตเขาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เนื่องจากเขามีแต่ความมุ่งมั่นที่จะหาเงิน แต่จริงๆ แล้วถ้าเขามองกลับกัน โดยมองว่าถ้าเขาอยากช่วยผู้อื่น เขาก็สามารถช่วยได้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้เงิน และสุดท้าย เงินก็จะมาหาเขาเอง

ผู้ ที่เอาเงินเป็นตัวตั้งนั้นอาจจะมีความสุขเมื่อได้เงินมานะครับ แต่ความสุขนั้นจะเป็นความสุขในช่วงระยะเวลาอันสั้น ยิ่งเราหาความสุขด้วยเงินและวัตถุนอกกายเท่าไร เรายิ่งจะไม่พบเจอความสุขจากเงินและวัตถุนอกกายเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นอีกนะครับว่า พวกที่ให้ความสำคัญกับเงินเป็นสิ่งแรกนั้น มักจะไม่ค่อยมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เนื่องจากต้องคอยแสวงหาเงินอยู่เรื่อยๆ ดัง นั้น ถึงแม้เงินจะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน แต่ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะมีความสุข ก็อย่าให้ความสำคัญกับเงินเป็นอันดับแรกในชีวิต ชีวิตนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่าและความสำคัญมากกว่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้าง การให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวัน สิ่งต่างๆ ข้างต้นนั่นแหละครับที่จะนำพาความสุขที่แท้จริงมาสู่ตัวเรา เราคงต้องเลือกครับ จะมุ่งแสวงหาเงินหรือแสวงหาความสุข
ยัง มีพฤติกรรมอีกหลายประการนะครับที่นำพาความสุขสู่ชีวิตเรา เอาไว้ในสัปดาห์หน้าจะมานำเสนอต่อนะครับ สุดท้ายขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 
   เนื้อหาในสัปดาห์นี้ขอต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่นำไปสู่ความสุข ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะสำหรับการสร้างความสุขในชีวิตเรา โดยนำมาจากผลการทดลองทั้งทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาที่น่าเชื่อถือและจับ ต้องได้  เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนำเสนอ ข้อเสนอแนะไปสามประการคือเรื่องของ การหยุดและชื่นชมกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา การหยุดเปรียบเทียบ และการไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของเงินมากนัก สัปดาห์นี้เรามาดูกันต่อนะครับว่ามีข้อแนะนำเพิ่มเติมอย่างไรสำหรับการสร้างความสุขในชีวิต


 การจะมีความสุขได้นั้น เราควรที่จะมีเป้าหมายบางอย่างในชีวิตที่สำคัญ ไม่ ว่าจะเป็นการเป้าหมายในด้านการทำงาน เป้าหมายในการเรียนรู้ หรือ เป้าหมายของการเลี้ยงลูกออกมาให้เป็นคนดีและมีความสุข ผู้ที่มีเป้าหมาย มีความฝันจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไร้ซึ่งเป้าหมายและความฝัน นอกจากการมีเป้าหมายและความฝันในด้านต่างๆ แล้ว สำหรับการมีความสุขในการทำงานนั้น ก็มีข้อเสนอแนะหนึ่งว่าถ้าอยากจะมีความสุขในการทำงานนั้น เราไม่ควรจะทำงานแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แต่ควรจะมีความคิดริเริ่มในงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้ข้อเสนอแนะในการทำงาน หรือการทำงานที่เพิ่มหรือมากขึ้นกว่าปกติ การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ไม่ใช่งานประจำที่ทำเป็นปกติ จะทำให้เรามีความสุขในการทำงานมากขึ้น
แนว คิดข้างต้นอาจจะขัดกับความเชื่อของหลายๆ ท่านที่พยายามจะหลีกเลี่ยงงาน พยายามทำงานให้น้อยที่สุด พยายามทำเฉพาะสิ่งที่รับผิดชอบ แต่การนำเสนอ ริเริ่ม หรือทำนอกเหนือจากงานที่ทำโดยปกตินั้น จะทำให้ชีวิตการทำงานมีความหมาย มีความตื่นเต้น และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น

นอกเหนือจากความสุขในการทำงานแล้ว อีกพฤติกรรมหนึ่งที่จะนำสู่ความสุขในชีวิต ก็คือการให้ความสำคัญกับครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง อย่าง ไรก็ดีการมีความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เน้นการมีเพื่อนเที่ยว เพื่อนกินจำนวนมากเท่านั้นนะครับ การที่ชีวิตเราจะมีความสุขได้ จะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ระหว่างบุคคลที่ใกล้ชิดที่มีทั้งความเข้าใจและ เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ท่านผู้อ่านนึกภาพดูนะครับ การมีเพื่อนเที่ยว เพื่อนกินจำนวนมาก กับการมีเพื่อนหรือคู่ชีวิตเพียงไม่กี่คน (หมายถึงเพื่อนนะครับ) ที่มีความเข้าใจ ห่วงใย และเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การมีความสัมพันธ์จำนวนน้อยแต่ลึกนั้น ย่อมนำไปสู่ความสุขมากกว่าพวกที่มีความสัมพันธ์จำนวนมากแต่ไม่ลึกซึ้ง

อีกทัศนคติและพฤติกรรมหนึ่งที่นำสู่ความสุขได้นั้นคือการมีทัศนคติในเชิงบวก เนื่อง จากคนที่มีความสุข จะมองสิ่งต่างๆ ในด้านบวก มองโอกาส มองถึงความเป็นไปได้ และมองถึงความสำเร็จ นอกจากการมองถึงโอกาสและความสำเร็จในอนาคตแล้ว ผู้ที่มีความสุข เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก็จะมองแต่สิ่งดีๆ ดังนั้นถ้าเรามองกลับกัน การที่จะมีความสุขได้ก็ควรจะเริ่มต้นจากการมีพฤติกรรมและทัศนคติในการมอง สิ่งต่างๆ ในเชิงบวก อย่างไรก็ดีอาจจะมีข้อโต้แย้งจากบรรดาผู้ที่ชอบมองสิ่งต่างๆ ในเชิงลบนะครับว่าการมองในเชิงบวกมากเกินไป อาจจะทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสีชมพู จนลืมมองสิ่งต่างๆ ในแง่ของความเป็นจริง การมองโลกในแง่ลบบางครั้งอาจจะมีข้อดีในแง่ของการทำให้เราระมัดระวัง คอยป้องกันและบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเรื่องของน้ำครึ่งแก้วนั้น ถ้าพวกที่มองโลกในแง่บวก ก็จะคิดอย่างมีความสุขว่า “ยังเหลือน้ำอีกตั้งครึ่งแก้ว” ส่วนพวกที่มองในเชิงลบก็จะมองว่าเหลือน้ำเพียงแค่ครึ่งแก้ว จะต้องคอยหาน้ำมาเติมให้เต็มตลอดเวลา
สรุป ก็คือท่านผู้อ่านอาจจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการมองทั้งในเชิงบวกและเชิง ลบนะครับ ถ้าบวกมากเกินไปก็อยู่แต่โลกแห่งความฝัน แต่ถ้ามองแต่เชิงลบอย่างเดียวก็จะคอยระมัดระวังและคิดมากเกินไปจนไม่มีความ สุข

อีกพฤติกรรมที่นำสู่ความสุขนั้น คือการแสดงถึงความขอบคุณอย่างจริงใจตลอดเวลา ปัญหา ประการหนึ่งของคนไทยคือเราอาจจะสำนึกขอบคุณหรือพระคุณที่ผู้อื่นทำให้กับเรา แต่การพูดหรือแสดงออกถึงความขอบคุณนั้นมักจะไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เรามักจะเก็บความรู้สึกขอบคุณนั้นอยู่ในใจเรา แต่ผลจากการทดลองพบว่าผู้ที่แสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณบุคคลต่างๆ หรือ ผู้ที่อยู่รอบข้างเรา จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มมากขึ้น มองโลกในแง่ดีเพิ่มขึ้น รวมทั้งเกิดความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายต่างๆ ในการทำงาน มีงานวิจัยที่พบว่าผู้ที่ชอบเขียนจดหมายขอบพระคุณไปยังผู้อื่นที่มีผลกระทบ ต่อชีวิตของเรา จะมีคะแนนในด้านความสุขสูง และความสุขดังกล่าวก็จะยาวนานถึงอาทิตย์ ดังนั้น เพียงแค่การอีเมลหรือเขียนโน้ต แสดงความขอบคุณนั้นจะทำให้เรามีความสุขขึ้นแล้ว

การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เรามีความสุขขึ้น จาก งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Duke พบว่าการออกกำลังกายมีผลพอๆ กับการรับทานยาเพื่อแก้ไขอาการหดหู่ เบื่อโลก นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังทำให้เราเกิดความรู้สึกของการบรรลุ ความสำเร็จ เนื่องจากการบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับเราสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญได้ อีกทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังทำให้ร่างกายเราหลั่งสารเอนโดรฟินที่ ช่วยทำให้เรารู้สึกมีความสุขด้วย



ข้อสุดท้ายสำหรับการสร้างสุขก็คือการให้ครับ เมื่อ “การให้” เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น โดยการให้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของตัวเงินเสมอไป การช่วยเพื่อนบ้าน ช่วยเพื่อนร่วมงาน การอาสาสมัครเพื่อทำความดี หรือการบริจาคสิ่งของหรือกำลังกาย ก็ถือว่าเป็นการให้ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือจากงานวิจัยเราพบว่า “การให้” นั้นนำไปสู่สุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีมากกว่าการออกกำลังกายและการหยุดสูบ บุหรี่ด้วยซ้ำไป นอกจากการให้ในลักษณะที่เราคุ้นเคยแล้ว การรับฟังผู้อื่น การถ่ายทอด ให้ความรู้ของตนเองต่อผู้อื่น หรือ การให้อภัย ก็ล้วนแล้วแต่เพิ่มความสุขให้กับเราได้ สุดท้ายที่น่าสนใจที่สุดก็คือเราจะมีความสุขมากขึ้นถ้าใช้เงินเพื่อผู้อื่น มากกว่าการใช้เงินเพื่อตนเอง ดังนั้นถ้าท่านอยากจะมีความสุขจากการใช้เงิน ก็ขอให้ใช้เงินนั้นเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเองครับ
 
บทความโดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 24 และ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

 

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากชีวิตจริง เงิน 800 บาทกินทั้งเดือน มีซีรีย์ชีวิต 800 บาท ตอน 1-2

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  อ่านเจอจาก pantip เลยเอามาฝากครับ เรื่องจริงสุดประทับใจ ของชายคนหนึ่งกับความยากลำบากของการใช้ชีว­ิตให้อยู่รอดในหนึ่งเดือน ด้วยเงินเพียง 800 บาท
ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex
ขั้นตอนการสมัค Exness

อ่านเจอจาก pantip เลยเอามาฝากครับ เรื่องจริงสุดประทับใจ ของชายคนหนึ่งกับความยากลำบากของการใช้ชีว­ิตให้อยู่รอดในหนึ่งเดือน ด้วยเงินเพียง 800 บาท

ซีรีย์ชีวิต 800

หากดูไม่ได้ สามารถ ดูจากลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้ได้นะครับ

ซีรีย์ชีวิต 800 ตอน 1 คลิก



นึกถึงตัวเองตอนมาหางานทำ กทม.เมื่อสองปีที่แล้ว

(ทั้งหมดนี่ คือเรื่องจริง 100% ทีเกิดขึ้นกับผม)

ประมาณสองปีก่อน ผมตกงานอยู่ที่ ตจว. ค้างค่าเช่าบ้านเค้า(เดือนละ 1200 บาทก็ยังหาไม่ได้)
เลยมาหางานทำที่ กทม. เพราะงานที่ ตจว.หายากมากๆ  มีเงินติดตัวมาทั้งหมด 2 พันบาทถ้วน 
(เอามือถือ เอา ram Hdd ไปขาย)
โทรศัพท์เอาอันเก่าที่หน้าจอแตก มองอะไรไม่เห็น เอามาใช้ชั่วคราวก่อน เพื่อโทรหาลูกเมียที่บ้าน
หอบเสื้อผ้า กระเป๋า มา กทม.คนเดียว ลูกเมีย ทิ้งไว้ที่ ตจว.เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สุดในชีวิตเลย
มาเพื่อวัดดวงกันเลยจริงๆ
นั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ ตี 4 มาลง กทม. ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถเมล์ฟรีต่อมายังย่านที่คิดว่า ค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายถูกๆ
ที่เล็งไว้ก็คือ ประชาอุทิศ พระประแดง สุขสวัสดิ์ ทุ่งครุ
(หาข้อมูลไว้ก่อนแล้วว่าแถวนี้ ค่าเช่าถูก โรงงานเยอะน่าจะมีงานให้ทำเยอะเช่นกัน )

ผมไปเดินหางานร้านคอม ร้านของชำ โรงงาน ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร คาร์แคร์ ฯลฯ
ร้านไหนติดป้ายหน้าร้านบอกรับคนงาน พนักงาน ก็เข้าไปสมัครกับเค้าเลยไม่อายอะไรทั้งสิ้น
ตอนนั้นงานอะไรก็ทำหมด  ของานเค้าทำ ค่าแรงไม่เกี่ยง
เดินหางานอยู่ เกือบ 1 วัน ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่จะจ้างผู้หญิง หรือไม่ก็คนอายุน้อยๆ (ตอนนั้นผม 35 แล้วนะครับ)

จนได้งานร้านขายคอมฯ เค้าจ้างให้เฝ้าร้านและประกอบคอม ค่าแรงวันละ 300 บาท พรุ่งนี้มาทำได้เลย ดีใจมาก  ผมยังไม่มีห้องพัก เลยหอบกระเป่าเสื้อผ้าไปนอนร้านเกมส์ ..........

ย้ำว่าไปนอนร้านเกมส์ คือเดินไปเดินมานั่งป้ายรถเมล์ จนดึก แล้วก็ไปนั่งร้านเกมส์ เช่าคอมฯเค้า(เค้ามีเหมา 1 ทุ่ม - 6 โมงเช้า ที่ 80 บาท) เลยวางของตรงนั้น นั่งเล่นเกมส์ฆ่าเวลาไป พอดึกก็นั่งหลับตรงนั้นเลย เงิน 80 บาทถือเป็นค่าที่พักห้องแอร์ มีเกมส์เน็ตให้เล่น 555

พอเช้า ตีห้า ตื่นมาก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินไปปั้มน้ำมันใกล้ๆ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปทำงานวันแรก (แต่ไม่ได้อาบน้ำ ทนเหม็นหน่อยเอาแป้งเด็กทาตัวดับกลิ่นไปก่อน)

ไปทำงาน และ ตอนพักเที่ยง เดินไปหาหอพักแถวๆนั้น(ผมไปอยู่แถวๆ ม.พระจอมเกล้าบางมด)
เพราะระหว่างเดินหางานผมก็หาหอพักไปพร้อมๆกัน เวลาผมมีจำกัด ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องไปนอนร้านเกมส์อีกแน่ๆ

เจอห้องพักราคาถูกเดือนละ 1 พันบาทไม่ต้องมัดจำ รวมน้ำไฟแล้ว เลยสนใจมาก เป็นห้องพักเก่าๆ ตึกอาคารพานิชย์เก่าๆแบ่งห้องให้เช่า ในห้องไม่มีอะไร นอกจากพัดลมเพดาน กับเสื่อน้ำมันเก่าๆ
ห้องน้ำรวม ห้องน้ำก็เก่ามากๆ ไม่มีฝักบัว มีแต่ก๊อกกับโอ่งดินเก่าๆเล็กๆ รองน้ำกับขัน 1 ใบ
ในตึก มีทั้งหมด 20 ห้อง มีคนอยู่ประมาณ 4 ห้อง ที่เหลือร้างหมด ดึกๆเหมือนตึกร้างเลย แต่ผมไม่กลัวผีหรอกนะ

เลยเอาเงินวางจอง 1 พันบาท หอบเสื้อผ้าไปนอนวันนั้นเลย   ได้ที่พักแล้ว 1 เดือน  ได้งานทำแล้ววันละ 300 บาท   ครบองค์ประกอบการรอดชีวิตแล้ว

การอยู่ในหอพัก ผมไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม ฯลฯ มีแต่เสื้อผ้าติดตัวมาเท่านั้น
เสื้อ 4 ตัว กางเกงยีนส์ 3 ตัว กางเกงใน 5 ตัวแปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ที่ตัดแบ่งจากลพบุรีมาครึ่งก้อน
เวลานอนก็ต้องเอาเสื้อผ้ามามัดทำเป็นหมอนหนุนหัวเอา

(ลืมบอกไปว่า ก่อนผมจะมา กทม.ผมยืมเงินพี่ข้างบ้านไว้ 1 พันบาท ทิ้งไว้ให้ลูกเมียกิน ตัวผมเอาเงินจากขายของมา 2 พันบาท)

เงินเหลือติดตัวทั้งสิ้นประมาณ 800 บาท ณ.วันที่ 1 ของเดือนต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือนกับเงินสุดท้ายนี้ เพื่อเงินเดือนออกจะได้รอด ผมเดินไปทำงาน เพราะมันไม่ไกลมากประมาณ 3 กิโล ถ้าโชคดีเจอรถเมล์ฟรี ก็โดดขึ้นเลย

ทำงาน ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเอา ตอนเย็นเลิกงาน ไปซื้อข้าวเปล่า 10 บาท กับปลากระป๋อง ยีห้อ ซีเล็ครถเผ็ด(กระป๋องเขียวๆ) ราคา 14 บาท(ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง)  รวมแล้ว 24 บาท(เอาขวดเปล่ากดน้ำตู้ 1 บาทไว้กิน)  ผมซื้อปลากระป๋องแทบทุกวัน จนเด็กในร้านจำผมได้  เท่ากับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ ด้วยเงินวันละ 25 บาทเท่านั้น  30 วัน x 25 บาท ผมใช้เงินทั้งหมด 750 บาท......

ผมกินข้าวกับปลากระป๋อง เกือบทั้งเดือน
ถ้าเบื่อผมก็เอาเงิน 25 บาทที่เป็นงบค่ากิน ไปซื้อข้าวไข่เจียวกล่องละ 20 บาท + ลูกชิ้น 1 ไม้ 5 บาท
หรือ หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท 3 ไม้ + ข้าวเหนียว 10 บาท ก็สามารถอิ่มได้ มันสนุกที่จะทำไง ให้เงิน 25 บาท ซื้อของกินให้ได้มากที่สุด อิ่มที่สุด จานช้อนส้อมไม่มี ตอนซื้อข้าวไข่เจียวกล่องได้กล่อง กับช้อนพลาสติก(ที่มันคมๆบาดปากได้) ก็เอาอันนั่นแหละ เป็นภาชนะไว้เทข้าวกิน กินเสร็จก็ล้างใช้ต่อ
เสื้อผ้าก็ซักในห้องน้ำ ผงซักฟอกก็ใช้สบู่ละลายน้ำ ซักผ้าเอาแค่พอไม่ให้เหม็นเท่านั้น ไม่ต้องสะอาดมาก ผมซื้อปลากระป๋อง เซเว่นทุกวัน จึงเอาเงินสด เติมเข้าบัตร เซเว่นไป 500 บาท (เพราะดูแล้วว่าคงต้องกินแบบนี้ทั้งเดือนแน่ๆ) เงินสดที่เหลือไว้ซื้อข้าวเปล่า บางครั้งก็ซื้อ 5 บาท บางครั้งก็ 10 บาท
แล้วใช้เงินในบัตรซื้อปลากระป๋อง จนได้แต้มมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต้มนั้นแลกเป็นของอย่างอื่น เช่น มาม่า ขนมปัง นม ฯลฯ แล้วแต่ว่าพอหรือเปล่า

ผมไม่มีเงินเติมมือถือ รับสายได้อย่างเดียว ตอนนั้นของ true มีบริการยืมเงินค่าโทรได้ 30 บาท
ผมก็กดยืม เพื่อเอาไว้โทรหาลูกเมียที่บ้าน วันเว้นวัน โทรวันละ 2 - 3 นาทีก็รีบวาง หรือไม่ก็ให้เมียสมัครโปร 9 บาทโทรฟรี 2 ทุ่ม - 6 โมงเช้า โทรมาหาผมแทน ถ้าอยากคุยนานๆ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่โทร

ยอมรับว่าตอนอยู่คนเดียว คิดถึงลูกมาก และเป็นห่วงเมียที่กำลังท้องอยู่ด้วย ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปช่วยยังไง ลูกป่วยจะทำไง ฯลฯ แต่ก่อนมาก็ฝากพี่ข้างบ้านช่วยดูแลไว้แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนั้นตลอดเวลา

ลืมบอกสิ่งที่ผมคิดว่า ผมก็ประทับใจตัวผมจนทุกวันนี้(ชมตัวเองก็เป็น) ที่สุดก็คือ ทุกวันศุกร์ตอนเลิกงานแล้ว ผมจะนั่งรถเมล์ฟรีสาย 21 ไปลงหัวลำโพง และ ต่อรถไฟฟรีเพื่อกลับไปหาลูกเมียที่ ลพบุรี ขึ้นรถเที่ยว สามทุ่ม(ถ้าจำไม่ผิด) ไปถึงลพบุรี ประมาณเที่ยงคืน ขอยืมจักรยานของ จนท.รถไฟ ขี่ไปหาลูกที่บ้าน (ขอยืมเค้า พี่เค้าก็ใจดีให้ยืมทุกครั้ง) แล้วอยู่กับลูกเมียเย็นวันอาทิตย์ ก็นั่งรถไฟฟรีกลับ กทม. มาทำงานตอนเช้าวันจันทร์ต่อ ผมทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะมันอดไม่ได้จริงๆที่ไม่ได้เจอลูกเมีย

จนถึงวันที่ 30 ที่เงินเดือนแรกจะออก น้ำหนักผมลดไป 5 กก.แต่ไม่เป็นไรไม่ป่วยอะไร
ผมเหลือเงินติดตัวสุดท้าย 50 บาทในวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนออก

เย็นนั้นผมเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวมันไก่ 30 บาท + น้ำอัดลม 15 บาท

จำได้จนถึงวันนี้ว่า เป็นมื้อที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เพราะ.....

ผมได้อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ ด้วยเงินแค่ 800 บาทอยู่ได้ทั้งเดือน

หลังจากเงินเดือนออก 9000 บาท
ผมก็เอาเงินไปมัดจำห้องคอนโดเก่าๆ มีห้องน้ำในตัว เช่าเดือนละ 1500 บาท
แล้วที่เหลือ ผมก็ไปพาลูกเมียมาอยู่ด้วยกัน (ตอนนั้นเมียกำลังท้องประมาณ 6 เดือน)
เหลือเงินจากหักย้ายบ้าน มัดจำคอนโดนแล้ว เหลือประมาณ 5 พันบาท

เพิ่มเติมนะครับ ตรงนี้ท่านที่ไม่ทราบว่าทำไมผมทำงานร้านคอมฯ แล้ว หยุด ส-อา. ได้เงินเต็มเดือน
ตอนผมทำงานผมบอกพี่เจ้าของร้านให้ทราบทุกอย่างตามความเป็นจริงว่า ไปยังไง มายังไง ว่าผมต้องทิ้งลูกเด็กและเมียท้องไว้ที่ ตจว.ไม่มีคนดูแล เงินที่บ้านก็มีนิดเดียว ผมต้องขอหยุด ส-อา เพื่อกลับไปดูแล ลูกเมีย พี่เจ้าของร้านก็ใจดีบอกไม่เป็นไร เพราะปรกติ ส-อา พี่เค้าจะมาดูร้านประจำอยู่แล้ว ส่วนค่าแรง พี่เค้าจะให้ผมเต็มเดือน ถือว่าช่วยหลานเล็กและเด็กในท้อง (ผมน้ำตาซึมเลยไม่คิดว่าพี่เค้าจะยอมช่วยขนาดนี้ แค่รับผมไว้ก็ดีใจแล้ว)

ซึ่ง 5 พันบาทนี้สำหรับ 3 ชีวิต และ อีก 1 ชีวิตในท้อง
ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว กินได้อาทิตย์ละ 1 พันเหลือเฟือเลย

นั่นแหละครับ ชีวิตที่ต้องเสี่ยง และ เดิมพัน เพื่อคนอื่น

ทุกอย่าง ทุกปัญหามีทางออกครับ เพียงแต่เราต้องใช้สติ และ ปัญญาให้รอบคอบ

เพิ่มเติมครับสำหรับท่านที่เป็นห่วง.......
เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ "สองปีที่แล้ว" ก่อนลูกคนเล็กจะคลอดครับ
ณ.วันนี้ ผมก็อยู่ได้เรื่อยๆครับ ไม่ถึงกับรวย แต่ก็ไม่ลำบากมาก
สิ่งที่ผมเจอมานั้น อยากจะแชร์ให้ท่านที่คิดว่า ท้อ เหนื่อย เบื่อ เครียด เสียใจ ฯลฯ กับชีวิตที่สิ่งไม่ดีเข้ามาหาเรา

ผมอยากให้ท่าน อย่าถอย จงสู้กับมันครับ สู้ด้วยสติ และ พิจารณาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางสิ่ง เรามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจ ทางหลายๆอย่างมันมีทางออกแน่นอน
- คนตกงาน ขอให้สู้ต่อครับ ผมก็ตกงานเกือบครึ่งปีมาก่อน
- คนเป็นหนี้สิน หาทางสู้ครับ ผมก็เป็นหนี้มากมายก่อนเป็นแสนๆ
- คนมีปัญหาครอบครัว หันหน้าคุยกันครับ มีอะไรจะพูด บอกให้หมดทุกอย่าง แล้ว ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ฯลฯ  ผมเชื่อว่าเราทุกคน ท้อได้ แต่อย่าถอยครับ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพัก ให้หายเหนื่อย แล้วลุกขึ้นเดินต่อครับ สักวันหนึ่ง มันต้องเป็นของเรา ช้าได้แต่ขอให้สู้ครับ

ข้อเท็จจริง ขอเปิดเผยบางส่วนนะครับ

- หอพักที่ผมไปอยู่นั้น อยู่ซอยประชาอุทิศ 25 เป็นอาคารพานิชย์แบ่งห้องเช่า เดือนละ 1000 บาท เข้าอยู่ได้แค่จ่าย 1000 ก่อนไม่ต้องมีมัดจำครับ(ถ้าใครอยู่แถวนั้นอาจจะเคยเห็น) จะค่อนข้างเก่ามาก ให้นึกถึงตึกร้างๆหน่อยนั่นแหละครับ ปากซอยจะเป็นร้านเซเว่น ตรงข้ามเป็นโชว์รูมโตโยต้า
- ร้านคอมฯที่ผมไปขอทำนั้น อยู่เลย ตลาด61 มาหน่อยนึงครับ ก่อนถึง รร.อิสลามวิทยาลัย หน่อยนึง ตอนนี้เค้าย้ายไปเปิดที่เซียร์รังสิตแล้วครับ
- ร้านเกมส์ที่ผมไปนอน อยู่ใกล้ๆกับแยกนาหลวงครับ ชื่อร้านจำไม่ได้ แต่ไปดูได้ครับ แถวนั้นเปิดกัน 24 ชม. ทุกร้าน เหมาจ่ายเย็นถึงเช้าไม่เกิน 80 บาทครับ

ทีมาของบทความ     http://pantip.com/topic/31546057

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อยากได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นทำอย่างไรดี

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  อยากได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นทำอย่างไรดี    คำถามสุดฮิตเวลาที่ไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องอัตราผลตอบแทน คืออยากได้เงินเดือนขึ้นมากกว่านี้ทำอย่างไรดี ซึ่งเป็นคำถามที่ส่วนตัวจริง ๆ แต่ก็เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพียงแต่น้อยคนที่กล้าถาม เอาเป็นว่าผมพอมีแนวทางมาแบ่งปันความรู้ ดังนี้
ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex
ขั้นตอนการสมัค Exness


    คำถามสุดฮิตเวลาที่ไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องอัตราผลตอบแทน คืออยากได้เงินเดือนขึ้นมากกว่านี้ทำอย่างไรดี ซึ่งเป็นคำถามที่ส่วนตัวจริง ๆ แต่ก็เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพียงแต่น้อยคนที่กล้าถาม เอาเป็นว่าผมพอมีแนวทางมาแบ่งปันความรู้ ดังนี้
  อย่างแรกเลยต้องเริ่มจากการ เตรียมตัวและการเก็บข้อมูลก่อน ซึ่งในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกัน คือ
1.ถามตนเองว่าทำไมถึงอยากได้เงินเดือนขึ้น ณ ตอนนี้-ตอบ คำถามนี้ให้ดี บางครั้งอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบที่อยากได้เงินเดือนขึ้น เพราะรู้สึกว่าตนเองทำงานหนักเกินรายได้ (ซึ่งอาจจะเป็นการทำงานหนักชั่วคราว) หรือเพราะว่าเพิ่งไปรู้เงินเดือนของเพื่อนมาไม่ว่าจากในหรือนอกองค์กรก็ตาม แล้วทำให้รู้สึกว่าองค์กรจ่ายเงินเดือนไม่แฟร์
ก่อน ที่จะทำอะไรลงไปลองคิดถึงสวัสดิการอื่น ๆ นำมาเปรียบเทียบด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประกันสุขภาพหรือประกันชีวิต เงินใช้ในยามเกษียณ หุ้นบริษัทในส่วนของพนักงาน หรือแม้แต่สวัสดิการการลาหยุดต่าง ๆ ลองคำนวณสิ่งเหล่านี้ออกมาคุณอาจพบว่าแม้เงินเดือนของคุณอาจจะเทียบไม่ได้ กับเพื่อน ๆ แต่สวัสดิการของคุณมากกว่ากันหลายขุมก็เป็นได้
2.มองดูสถานการณ์ในภาพรวม-ดู สถานการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือผลประกอบการขององค์กร ถ้าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง หรือผลประกอบการขององค์กรไม่ดี กำลังอยู่ในช่วงกระเสือกกระสนเพื่อความอยู่รอด มีการปลดพนักงาน ออก แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คุณไม่ควรที่จะเข้าไปขอขึ้นเงินเดือนเด็ดขาดแค่เขาไม่เอาคุณออกก็โชคดีมาก แล้ว 
3.ประเมินผลการทำงานและประสิทธิภาพในการทำงานของตนเองอย่างซื่อสัตย์-ลอง เปรียบเทียบหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณ และผลตอบแทนที่ได้รับกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ทั้งในและนอกองค์กร หลายคนมักมองที่ตัวเงินเพียงอย่างเดียวโดยไม่มองถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของ เราและเพื่อนที่แตกต่างกัน
  ซึ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบแต่ละอย่างก็ใช้ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญคุณทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีหรือยัง แน่นอนว่านอกจากประสิทธิผลแล้วยังมีในเรื่องของประสิทธิภาพที่ต้องนำมา เปรียบเทียบด้วย
       นอก จากนี้ ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่สร้างความแตกต่างระหว่างคุณกับเพื่อน ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยากง่ายของงาน การทำงานเป็นทีม หรือแม้แต่เรื่องของการอาสาสมัครเข้าไปทำงานอื่น ๆ ขององค์กร เป็นต้น
4.บริหารภาพลักษณ์และประวัติของตนเอง (profile)-ถ้า เป็นไปได้จงทำตัวให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ใช่แค่หัวหน้า และทีมงานของคุณเท่านั้นที่รู้จักคุณ การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์หรือ networking เป็นเรื่องสำคัญ พยายามหาโอกาสในการสร้างคุณค่าของตัวคุณให้องค์กรได้เห็น และที่สำคัญต้องทำให้องค์กรเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่คุณทำให้กับองค์กรด้วย
  เมื่อ คุณเตรียมตัวและเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปฏิบัติการเพื่อการขึ้นเงินเดือน การปฏิบัติการนี้ก็มี 4 ขั้นตอนด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย 4 องค์กรประกอบหลัก ๆ คือ
1.หาจังหวะเหมาะ ๆ-จังหวะ ที่ดีที่สุดในการเข้าหาหัวหน้าคือหลังจากที่ทีมงานของคุณเพิ่งทำงานอะไร บางอย่างที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง หรือตัวคุณเองทำโครงการบางอย่างได้ประสบความสำเร็จ มันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ถ้าคุณจะเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าในขณะที่เขากำลัง ยุ่ง หรือทีมงานกำลังประสบปัญหาอยู่
2.วางแผนให้รอบคอบก่อนเข้าไปคุย-ถ้าคุณกำลังจะเข้าไปคุยกับหัวหน้าเพื่อขอเงินเดือนขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือมีตัวเลขที่ต้องการอยู่ในใจก่อน จากนั้นหาเหตุผลที่ดีมาสนับสนุนการขึ้นเงินเดือนของคุณ เช่น ตัวเลขเปรียบเทียบเงินที่จ่ายให้กับคนที่มีหน้าที่การทำงาน และความรับผิดชอบเหมือนคุณ โดยเปรียบเทียบทั้งในและนอกองค์กร นอกจากนี้เหตุผลสนับสนุนอื่น ๆ ยังมีในเรื่องของงานต่าง ๆ ที่คุณได้ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างมาก หรือเรื่องของคำชมเชยที่ได้รับจากลูกค้าหรือบุคคลอื่น ๆ แน่นอนว่าการวางแผนสนับสนุนที่ดีจะช่วยให้คุณคุยกับหัวหน้าได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันหัวหน้าก็จะสามารถชงเรื่องต่อไปได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
3.พูดอย่างชัดเจนและตรงประเด็น-ระหว่าง การพูดคุยกับหัวหน้าต้องชัดเจนในเป้าหมายและพูดให้ตรงประเด็น อย่าเอาเรื่องอื่น ๆ มาพูดคุยหลายประเด็นในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้หัวหน้าหลงประเด็นหรือลืมประเด็นนี้ของคุณก็เป็นได้ พยายามพูดให้เป็นไปในแง่บวก รวมถึงการบอกกล่าวถึงว่าคุณชอบงานที่ทำอยู่มากแค่ไหน
4.เตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาต่อรอง-จง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเจรจาต่อรอง เพราะบางทีหัวหน้าอาจจะมีข้อเสนออื่น ๆ มาทดแทนการขอขึ้นเงินเดือนของคุณ เช่น โบนัส หุ้นขององค์กรสำหรับพนักงาน วันลาพักที่มากขึ้น หรือการผูกโยงการขึ้นเงินเดือนกับผลการทำงานหรือผลประกอบการขององค์กร หรืออาจจะมีการต่อรองในรูปแบบอื่น ๆ ที่เราอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้
   อย่างไรก็ดี คุณต้องเข้าใจว่าหัวหน้าไม่สามารถอนุมัติการขึ้นเงินของคุณได้ในทันที เพราะการขึ้นเงินเดือนพนักงานปกติต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้กับหัว หน้าของคุณ ถ้าเป็นไปได้เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกำหนดระยะเวลาการพิจารณาและ การตอบกลับให้ชัดเจน
แน่นอนว่าแม้คุณทำทุกอย่างแล้วตาม ขั้นตอนที่แนะนำ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือนตามที่ต้องการเสมอไป ดังนั้นถ้าไม่ได้จงค้นหาเหตุผลเพราะอาจจะมีเหตุมาจากนโยบายขององค์กร กระบอกเงินเดือนที่ถึงขีดสุดของระดับการทำงานของคุณ หรือเพราะผลการทำงานของคุณเอง ซึ่งถ้าคุณยังคงยืนยันในการต้องการขอขึ้นเงินเดือนอยู่ อาจต้องดูว่าคุณจำเป็นต้องทำอะไรอีกบ้างเพื่อทำให้สถานการณ์เป็นใจให้กับคุณ เช่น รับผิดชอบงานที่มากขึ้น หรือการทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ (KPI) สูงขึ้น
แต่ถ้าเหตุผลของการปฏิเสธเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม คุณอาจจำเป็นต้องรอให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือโอกาสที่เหมาะสม ต่อไป อย่างไรก็ดีในระหว่างที่รอต้องทำใจให้เย็น ๆ ไว้ มองโลกในแง่บวก ทำงานให้ดีที่สุด บริหารภาพลักษณ์และประวัติของคุณให้เฉิดฉายมากขึ้น
ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังไม่สำเร็จอีก อาจต้องพิจารณาเรื่องของการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของคุณ ซึ่งอาจหมายถึงการเปลี่ยนงานก็เป็นได้

บทความโดย : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา 
ที่มา : คอลัมภ์ ถามมา-ตอบไปสไตล์คอนซัลต์ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ