วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

"10 ปี 7 ครั้ง"

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  อ่านแล้วชอบ จึงนำมา แบ่งปัน !!!"10 ปี 7 ครั้ง"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"ชอบประโยคนี้มากมันจริงอย่างยิ่งถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปีเราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง1. สิบปีแรก..หมดไปกับ
ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

อ่านแล้วชอบ จึงนำมา แบ่งปัน !!!
"10 ปี 7 ครั้ง"
...................
ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสัก
กี่ครั้งกัน"
ชอบประโยคนี้มาก
มันจริงอย่างยิ่ง
ถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปี
เราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง
1. สิบปีแรก..หมดไปกับ
ความไร้เดียงสา
2. สิบปีต่อมา..หมดไปกับ
การศึกษาเล่าเรียน
3. สิบปีต่อมา.หมดไปกับ
การทำงานและการใช้ชีวิต
4. สิบปีต่อมา..หมดไปกับ
การสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
5. สิบปีต่อมา..หมดไปกับ
การลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่หามา.
6.สิบปีต่อมา..หมดไปกับ
การดูแลรักษาสุขภาพ
กาย-ใจให้แข็งแรง
7. สิบปีสุดท้าย..หมดไปกับ
การปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้าน
แต่ละสิบปีผ่านไป...
ไวเหมือนโกหก
อีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไป
มีอะไรที่เราทำไปแล้วมาก
มาย และก็ยังมีอะไรอีก
มากมายที่เรายังไม่ได้ทำ
** เวลา คือ หน่วยเงิน
ในกำมือของเราที่เอาไป
แลกสิ่งอื่น
-เราเอาเวลาไปแลกงาน
-เราเอางานไปแลกเงิน
-แต่เราก็ไม่เคยเอาเงิน
ไปแลกเวลาคืนกลับมา
ได้สักที
ถ้า 'ธนาคารเวลา' มีจริง
เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชี
สักเล่มที่จะให้เราดูได้..ว่า
ตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?
** เรารู้ว่าเราใช้ "สิบปี"
ของเราไปกี่ครั้งแล้ว
แต่เราไม่อาจรู้ว่า...
เราจะใช้ "สิบปี" ที่เหลือ
ของเราได้ครบมั้ย?
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับ
เราใช้เวลาสิบปีของเราไป
คุ้มค่าหรือเปล่า?
เมื่อเราหันหลังกลับมา
ขอให้พูดได้เต็มปากว่า
เราใช้มันไปอย่างไม่น่า
เสียดาย
ชี วิ ต ค น เ ร า จ ะ มี
"สิ บ ปี"
สั ก กี่ ค รั้ ง กั น?
ใช้สิบปี เจ็ดครั้งของเรา
ใ ห้ คุ้ ม ค่า ่
กับสิบปีปัจจุบันของท่าน
Suksri เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหันมารักตัวเอง...
สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ
- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง
- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน
- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน
หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง
ดังนั้น
- อยากกิน...กิน
- อยากเที่ยว....เที่ยว
- เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
- สุขสบายทุกเพลา
- เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
- เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ
- ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป
- เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่าได้โกรธกันง่ายๆ

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

เจาะกลยุทธ์ธุรกิจ OLX เร่งสร้างแบรนด์ย้ำของฟรีก็มีในโลก

 งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน 
สัมภาษณ์
จาก "สนุกคลาสซิฟาย" สู่ "ดีลฟิช" เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ล่าสุดกับชื่อใหม่เอี่ยม "OLX.co.th" โดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ การเป็นพื้นที่กลางบนโลกออนไลน์สำหรับให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายใช้บริการฟรี และน่าจะเป็นเว็บแรก ๆ ที่ทุ่มเงินไปกับการโปรโมตเว็บไซต์แบบปูพรมครบเครื่องทั้งสื่อใหม่สื่อเก่าครบเครื่อง (ทั้งออนไลน์, โทรทัศน์ และวิทยุ) เต็มรูปแบบ ชนิดที่ไม่เคยมีเว็บไหนในบ้านเราทำมาก่อน

เรียกว่า "ใจถึง-เงินถึง" และ "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้มีโอกาสพูดคุยกับ "ทิวา ยอร์ค" ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ และตำแหน่งในนามบัตรของเขา คือ Head Coach ของ OLX ดังต่อไปนี้

- เพิ่งมีการรีแบรนด์อีกครั้ง

OLX มีใน 100 กว่าประเทศทั่วโลก แต่ในประเทศไทยเพิ่งเปลี่ยนเป็นกลุ่มท้าย ๆ แล้ว บริษัทแม่ Naspers ต้องการให้เป็นโกลบอลแบรนด์เพื่อสื่อสารกับตลาดได้ง่ายขึ้น แต่ให้ OLX ในแต่ละประเทศยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างในไทย กลุ่มพระเครื่องได้รับความนิยมมาก ทีมงานในไทยพัฒนาระบบเอง มีคนประกาศขายอยู่ 5 ล้านราย มีคนเข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 400% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เทียบประเทศอื่น แหล่งซื้อขายแบบนี้จะเข้าถึง 80-90% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศนั้น ๆ เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน และติด 1 ใน 5 ของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศนั้น แต่ในบ้านเรา OLX อยู่อันดับ 10 แต่เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มออนไลน์มาร์เก็ตเพลส

- ไม่ใช่อีมาร์เก็ตเพลส
คอนเซ็ปต์ของเราคือ Local Commerce โมเดลแบบนี้ในต่างประเทศเวิร์ก และทำประโยชน์ให้คนไทยด้วยเน้นเป็นพื้นที่ขายสินค้ามือ 2, สินค้าแฮนด์เมด และของหายาก เป็นตลาดเฉพาะที่เน้นการนำสิ่งของรอบตัวมาขาย เป้าหมายคือให้คนไทย 1 คน เข้ามาขายของบน OLX อย่างน้อย 1 ชิ้น โอกาสที่จะขายได้ขึ้นอยู่กับสินค้า ถ้าเอารถมาประกาศขายภายใน 10 วันแล้วยังขายไม่ได้แสดงว่า ตั้งราคาไม่ OK

เราไม่ต้องการขยับเป็นอีมาร์เก็ตเพลส แม้ว่าอาจจะทำให้หารายได้ได้มากกว่า เพราะโมเดลการหารายได้ของ OLX ในต่างประเทศพิสูจน์มาแล้วว่าทำรายได้ดีเหมือนกัน และเราก็เชื่อว่า เราอยากทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้น สามารถมีพื้นที่มีแหล่งขายของใกล้ตัวได้ สร้างพื้นที่ตรงกลางให้คนเอาของที่ไม่ได้ใช้มาขายได้

อีมาร์เก็ตเพลสทั่ว ๆ ไปจะเป็น B2C คือ บิสซิเนสไปยังคอนซูเมอร์ แต่ละรายถ้าเปิดร้านขายแล้วก็จะไปกระจายประกาศขายในทุกที่ สุดท้ายก็แข่งที่ราคา คนผลิตสินค้าแฮนด์เมดไปสู้ที่ราคาไม่ได้ แต่กลุ่มนี้มาลงที่ OLX ได้ คือเราเน้นที่ C2C ไม่ใช่ B2C ของที่แปลกที่สุดที่มีการนำมาประกาศขาย มีตั้งแต่รกแมว, บริการจัดงานศพให้สัตว์เลี้ยง ของที่ประกาศขายแล้วมีคนซื้อเร็วที่สุด คือกระเป๋ามือสอง แค่ 25 นาที

- รายได้ของเว็บจะมาจาก
รายได้จากการขายพื้นที่ในตำแหน่งพิเศษ และโฆษณา OLX ประเทศอื่นอาจใช้เวลา 4-6 ปี ถึงจะมีรายได้ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในการขายของมือสองอย่างไร อย่างในอเมริกามี Garage Sale เอาของไม่ใช้มาวางขายหน้าบ้านเลย แต่คนไทยไม่มีแบบนี้ อาจมีแค่บางกลุ่มที่เอาของไปเปิดท้ายขาย OLX จะช่วยทำให้การขายแบบนี้ง่ายขึ้น ความท้าทายของเราคือ ต้องทำให้เขาลุกขึ้นมาขายของชิ้นแรกให้ได้ก่อน คนไทยจะกังวลว่า ของแบบนี้จะขายได้หรือ พอเริ่มขายได้ชิ้นแรกจะเริ่มค้นหาของมาขายต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ

- ในไทยจะเริ่มมีรายได้เมื่อไหร่
จากฐานลูกค้า ณ เวลานี้ หากจะเปิดหารายได้เลยก็ทำได้ แต่จะไม่เพิ่ม value ให้ผู้ใช้ของเราจึงโฟกัสไปที่การสร้างระบบใช้งานให้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นดีกว่า ถ้าฐานแน่นแล้วก็จะสามารถเพิ่มส่วนที่หารายได้เข้าไปทีหลังได้ ยังไม่มีแผนว่าจะเริ่มเมื่อใด หรือต้องถึงจุดไหนก่อนถึงจะเริ่มหารายได้

ตั้งแต่เปิดเมื่อ 20 ก.ย. 2554 มีคนถามเราตลอด แต่ไม่เห็นถามคำถามนี้กับ IG (อินสตาแกรม) เลย โมเดล OLX อาจแปลกสำหรับคนไทย แต่เป็นเรื่องปกติในต่างประเทศ แนวคิดของคนไทยคือ ลงทุนแบบนี้เมื่อไรจะมีรายได้เข้ามา ทั้งที่อินสตาแกรมยังไม่มีรายได้สักสลึง เฟซบุ๊กกว่าจะมีรายได้ ก็ 4 ปีไปแล้ว กูเกิลใช้เวลา 6 ปี

ฉะนั้นรายได้ไม่สำคัญเท่าจะทำบริการให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้ได้ ตอนนี้ถือเป็นช่วงการลงทุน เพื่อให้ได้สเกลผู้ใช้ก่อน

แล้วที่คนสงสัยว่า OLX จะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีรายได้ เรามีแหล่งทุนจาก Naspers ที่เป็นบริษัทแม่ซึ่งเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก สำนักงานใหญ่อยู่ที่เคปทาวน์ คนไทยอาจไม่คุ้นชื่อ Naspers บริษัทที่ถือใน MWeb ถือในเทนเซ็นต์ของจีน

- เป็นโมเดลธุรกิจแบบใหม่
เชื่อว่าจะได้เห็นโมเดลแบบนี้ในไทยมากขึ้น จากบรรดาสตาร์ตอัพในไทยที่มากขึ้น หลังเริ่มมีสตาร์ตอัพรุ่นใหม่เมื่อ 2 ปีก่อนที่จะเริ่มตั้งบริษัทแล้ววิ่งออกไปนายทุนข้างนอกมากขึ้น ถ้ามองไปในประเทศที่อยู่รอบข้างเรา อย่างเวียดนาม นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปเยอะมาก ตอนนี้กระโดดมาที่อินโดนีเซียแทน จากที่เมื่อ 5 ปีก่อนแทบหาคนที่ทำงานในแวดวงอินเทอร์เน็ตไม่ได้เลย ตอนนี้มีเยอะแยะ กลับมามองที่ไทยต้องบอกว่า เงียบมากนักลงทุนไม่กล้าเข้ามา ปัญหา Eco System ของเราเองที่มีสตาร์ตอัพน้อยมาก มีนักลงทุนสนใจอยากเข้ามา แต่หาบริษัทจะลงทุนด้วยไม่ได้

- ปัญหาสตาร์ตอัพไทย
สตาร์ตอัพบ้านเรา คือคนรุ่นใหม่ยังไม่ค่อยก้าวเข้ามาในวงการนี้ และยังไม่สลัดแนวคิด สไตล์การทำงานแบบเดิม ๆ ว่าถ้าตั้งบริษัทขึ้นมาแล้วต้องเป็นของฉัน

ยังยึดติดว่าธุรกิจของฉัน ๆ ต้องควบคุมมันได้ทุกอย่าง แต่ถ้าคุณต้องการให้บริษัทเติบโต ต้องการผู้ร่วมทุนก็ต้องยอมที่จะขายหุ้นบางส่วนออกไป

สตาร์ตอัพในต่างประเทศไม่สนใจเรื่องอำนาจบริหารอำนาจการควบคุมกิจการ กิจการ เหมือน Baby ที่ต้องการให้เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญคือ สถานการณ์การเมืองไทยทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยในการลงทุน ถ้าเทียบกับข้างบ้านเรา อินโดนีเซีย การเมืองนิ่งมานานก็จะกล้าลงทุนมากขึ้น

- Naspers ยังลงทุนในไทย
ลงทุนในไทยมานาน และเชื่อมั่นตลาดไทย ที่ผ่านมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาใต้ ยุโรปตะวันออก

- ความท้าทายในตลาดไทย


พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว ต้องบอกว่าเรามี 2 ประเทศ ในประเทศเดียว คือ มีประเทศกรุงเทพฯกับประเทศต่างจังหวัด ซึ่งผู้บริโภคมีพฤติกรรมต่างกันเลย

เรามีทราฟฟิกมาจากกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง ผู้บริโภคในกรุงเทพฯออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนแต่อัตราการเติบโตของทราฟฟิกที่มาจากต่างจังหวัดก็เยอะมาก

เป้าหมายในการทำตลาดของเรา คงเน้นให้มีลูกค้ากระจายไปทั่ว ๆ ตามสัดส่วนของประชากรทั้งประเทศ ให้ไปถึงชีวิตคนไทยจริง ๆ ทราฟฟิกของเราตอนนี้

อันดับ 1 คือ กรุงเทพฯและปริมณฑล เชียงใหม่ โคราช อยุธยา สงขลา ระยอง

ช่องทางใช้งานก็เปลี่ยนไปจากยอดผู้ใช้ผ่านโมบายที่มีราว 18% ปีที่แล้ว ตอนนี้เพิ่มเป็น 51% ก้าวกระโดดไปไกลเกินกว่าจะคาดเดาได้ จริง ๆ สถิติที่เห็นในตลาดโลก

พบว่า การเข้าเว็บผ่านโมบายจะแซงหน้าพีซีเกือบทุกเว็บในครึ่งปีแรกของปีนี้

อัตราการเติบโตของคนเข้าเว็บ OLX ถ้าจะไปได้เร็วพร้อมการเพิ่มขึ้นของอัตราคนใช้เน็ตในไทย ขณะนี้คนเข้า OLX ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประชากรคนใช้เน็ต ปีที่แล้วเพิ่ม 400% ตอนนี้ไม่สามารถคาดเดาได้จากที่ใช้ผ่านโมบาย 51% สิ้นปีถึง 70%

- ปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือ
ต้องพัฒนาหน้าเว็บกับแอปพลิเคชั่นให้รับกับแต่ละอุปกรณ์ ต้องแยกชัดเจนว่าสำหรับเดสก์ทอป โมบาย แท็บเลต ปีนี้จะมีแอปสำหรับแท็บเลตโดยเฉพาะ เพราะถึงเป็นสมาร์ทดีไวซ์เหมือนกัน แต่การใช้งานไม่เหมือนกัน โมบายอยู่ติดกับตัวตลอด หน้าจอเล็ก วิธีการใช้ก็แบบหนึ่ง ถ้าเป็นแท็บเลตการใช้ส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านค่อย ๆ เปิดดูไปเรื่อยๆ หน้าจอใหญ่กว่าการนำทางไปยังจุดเชื่อมต่ออื่นง่ายกว่าโมบายที่จอเล็กกว่า

และจะปูพรมโฆษณาออนไลน์กับทีวีซีนไปให้ทั่วแล้วส่งทีมงานเข้าไปลง พื้นที่ตั้งบูทตามต่างจังหวัดเพื่อคุยกับลูกค้าฟังฟีดแบ็กและให้ลูกค้าได้ ทดลองใช้ เป็นกิจกรรมที่เพิ่งเริ่มทำในปีนี้ ตั้งใจว่าจะไปให้ถึง 10 จังหวัด แต่คงไม่ถึงขั้นจัด Workshop เพราะไม่ได้เน้นนักขายมืออาชีพ แต่ต้องการให้ทุกคนลุกขึ้นมาขายบน OLX ได้

เป้าหมายคือ ใช้งานให้ง่ายที่สุด

อาม่าเปิดหาซื้อของได้ กดถ่ายรูปส่งของมาวางขายได้เองลูกหลานไม่ต้องช่วย นั่นแสดงว่า เราใช่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น

- ปัญหาเศรษฐกิจมีผลกระทบ


เท่าที่เจอมาทั่วโลก ยิ่งเศรษฐกิจแย่ คนยิ่งอยากปล่อยของในบ้านออกมา ส่วนมูลค่าตลาดซื้อขายออนไลน์ในไทยประเมินได้ยาก

ในส่วนอีคลาสซิฟาย OLX มีมาร์เก็ตแชร์ 90% ลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มวัยที่เริ่มมีสมบัติและต้องการพื้นที่แลกเปลี่ยนของ คู่แข่งมีบ้างแต่ไม่ค่อยได้สนใจที่สนใจมากกว่าคือการสร้างบริการให้ตรงใจ พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาได้ล่วงหน้าถ้าใครคิดได้ก่อนจะ รวยก่อน

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร  
ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

   จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร
วันนี้เรามี 10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ทำให้แอปเปิลพัฒนามาจนถึงวันนี้
เป็นที่รู้กันว่า พนักงานของบริษัทแอปเปิลตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาถูกปลูกฝังด้วยคำว่า Think Different หรือ คิดต่าง ซึ่งแม้ว่าคำๆนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม และปฏิบัติตามได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าพนักงานของแอปเปิลทุกคนจะเรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การคิดต่างในแบบแอปเปิลนั้น ได้ทำให้บริษัทก้าวมาไกลเพียงใด
สตี ฟ โทบัก ที่ปรึกษา นักเขียน และผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี ได้ทำการศึกษาบุคคลที่ร่วมงานกับแอปเปิล  ที่เขาเปรียบเทียบว่า วัฒนธรรมแบบแอปเปิลเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของบริษัทในสหรัฐฯ เพราะแอปเปิลได้ฉีกทุกกฎที่ทุกคนเคยทำไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโทบักได้ข้อสรุปออกมาเป็น 10 วิธีที่คิดต่างในแบบแอปเปิล ที่ทำให้บริษัทนี้ โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ และพลิกฟื้นจากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลก ดังนี้
1. เสริมสร้างให้พนักงานคิดต่าง  พนักงานคนหนึ่งของแอปเปิลกล่าวว่า สตีฟ จ็อบส์มักจะพูดเสมอว่าเราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และเขาเชื่อว่าพวกเราทำได้
2. สิ่งที่สำคัญคือการให้คุณค่า อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย  พนักงาน ของแอปเปิลทุกคนเห็นว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่สนุกที่จะทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันอย่างไร้กฎระเบียบ ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่างานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งโทบักเคยเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารของแอปเปิล ที่มาร่วมประชุมด้วยเท้าเปล่า ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ
3. รักและใส่ใจกับผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
4. ทำทุกสิ่งที่สำคัญ และทำจากใจ โทบักต้องข้อสังเกตว่า การบริหารงานของแอปเปิลนั้นจะไม่มีการแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ทุกอย่างต้องทำภายใต้การรับผิดชอบร่วมกัน
5. ดูแลการตลาดอย่างใกล้ชิด จ็อบส์ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเป็นอย่างมาก โดยแอปเปิลจะไม่มีการจ้างบริษัทอื่นเพื่อมาทำการวิจัยทางการตลาด แต่พวกเขามีทีมเป็นของตัวเองในการรับผิดชอบเรื่องนี้
6. ควบคุมสาส์นที่จะสื่อออกไปถึงผู้บริโภค ซึ่งแอปเปิลจะมีวิธีการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์บริษัทที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
7. สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อาจสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้  พนักงานของแอปเปิลรู้ซึ้งถึงแนวคิดนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระหว่างการเปิดตัวไอโฟน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างหนัก ผู้บริหารก็สั่งอาหารอย่างดีมาให้ บางสาขาถึงกับลงทุนจ้างพนักงานนวดมาเพื่อนวดคลายเส้นให้แก่พนักงานของแอ ปเปิลโดยเฉพาะ
8. อย่าปล่อยให้คนทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  จ็อบส์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือทำยังไงให้พนักงานทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบก็คือ เขาจะต้องคอยผลักดันให้พนักงานทุกคนก้าวหน้า
9. เมื่อคุณค้นพบว่าสิ่งนั้นทำแล้วได้ผล จงทำต่อไปเรื่อยๆ  แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด และพัฒนาจนสิ่งนั้นๆล้ำหน้ากว่าคนอื่น
10. การคิดต่าง จ็อบส์ เคยกล่าวไว้ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า อย่าปล่อยให้เสียงหรือความคิดของคนอื่น ดังกว่าเสียงหรือความคิดของตัวคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณคิดจะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน จงเชื่อมั่นและทำต่อไป

 

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร

ข้อปฏิบัติ 10 ข้อ สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพภายใน

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  
      ข้อปฏิบัติ 10 ข้อ สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพภายใน

1 หัดคิดแต่ด้านบวก แล้วเราจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้
2 หัดฝัน แล้วเราจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่
3 หัดพูดแต่ด้านบวก แล้วเราจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา
4 ลองเขย่งดูสิ แล้วเราจะรู้ว่าเรายังสูงขึ้นอีก
5 ลองทำบ้าดูสิ แล้วเราจะรู้ว่าคนอื่นก็กลัวเราเป็นเหมือนกัน
6 ลองทนดูสิ แล้วเราจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใครๆ
7 หัดฟาดฟันกับอุปสรรคดูสิ  แล้วเราจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง
8 ลองออกกำลังกายทุกวันดูสิ   แล้วเราจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง
9 หัดยิ้มดูสิ แล้วเราจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก
10 ลองคิดใหญ่ดูสิแล้วเราก็จะรู้ว่าเรามีความฮึกเหิมอย่างน่าแปลกใจ

ที่มา  : http://www.thaireaderclub.com

ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

จดหมายของพ่อ

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  
วีดีโอนี้ คุณโทรหาพ่อแม่ครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่ คุณอาจจะไม่รู้ว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไร จนกว่าจะได้ชมวีดีโอนี้ "จดหมายจากพ่อ"

ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex
พ่อของผมเป็นคนดุ เสียงดังและมักจะอารมณ์เสียกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ผมไม่เคยเข้าใจกับคำสั่งของพ่อเลย บางอย่างมันก็เป็นเรื่อง ที่ฝืนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง การไปเตะฟุตบอลแล้วกลับบ้านค่ำ เหมือนเพื่อนคนอื่นไม่ถูกต้องนัก ในสายตาของพ่อ ผมต้องกลับมาช่วยงานที่บ้านทุกวัน บางครั้งผมก็คิดว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลย ไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว
เดือน ธันวาคมของทุกปี โรงเรียนของผมมีการจัดงานวันพ่อ โดยมากจะมีการจัดบอร์ดเกี่ยวกับในหลวง แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษกว่า อาจารย์ให้พวกเราเขียนการ์ดวันพ่อ การ์ดจะต้องถูกทำขึ้นเองและให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งทางไปรษณีย์ไปที่บ้านของ แต่ละคน สำหรับผมแล้วเรื่องการ์ดนี้ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่า การได้เตะฟุตบอล หรือว่าเตะตะกร้อ กับเพื่อนเลย มันออกจะเป็นความกระดากอายด้วยซ้ำ ที่จะต้องเขียนการ์ดอวยพรให้กับพ่อ หลายวันนั้นผมทำอะไรหลายอย่างกว่าจะได้ทำการ์ด ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะส่งการ์ดสีฟ้า ทำมาจากกระดาษแข็งที่เหลือมาจากจัดบอร์ดที่โรงเรียน ลายขลิบสีทองข้างๆผมก็ได้มาจากหมวกวันปีใหม่เก่าๆของน้อง ผมเขียนข้อความลงไปว่า ขอให้พ่อมีความสุขและหายป่วยจากโรคที่เป็นอยู่
ผม คิดว่าถ้าผมเป็นอาจารย์ไอ้การ์ดใบนี้คงได้คะแนนไม่เกินห้าจากเต็มสิบแน่ๆ  สองวันต่อมาผมกะว่าการ์ดจะต้องถูกส่งมาถึงที่บ้าน ทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้านผมจะรีบไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อที่จะเก็บการ์ดของผม ก่อนพ่อจะได้รับมัน หลายวันต่อมาผมก็ไม่เห็นมีการ์ดส่งมาที่บ้าน แล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป วันหนึ่งพ่อใช้ให้ผมไปหยิบของที่โต๊ะบัญชี เมื่อไขล็อคกุญแจและดึงลิ้นชักออกมา ผมพบการ์ดใบนั้นวางอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่ออ่านมันรึยัง ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือเจ้าการ์ดใบนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเก็บไว้ มันไม่ได้ทำมาจากความตั้งใจของผมเลยมันน่าจะหายไป  แต่ ว่าผมก็ยังไม่อยากจะทิ้งมันไปเลยนำมันซ่อนไว้ในลิ้นชักข้างๆกัน ต่อมาเมื่อผมเปิดลิ้นชักอีกครั้งก็พบการ์ดใบนี้วางอยู่เสมอ คราวนี้ทุกครั้งที่ผมเจอมันผมจะนำมันไปเก็บไว้ที่อื่นเสมอ และไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมเปิดลิ้นชักเดิมก็จะพบว่ามันอยู่ที่เดิมเสมอ ครั้งสุดท้ายที่ผมพบมัน ผมเก็บมันไว้ในที่ที่คิดว่าจะไม่เจอมันอีกเลย และ เรื่องนี้พ่อกับผมไม่เคยพูดถึงมันเลย
จาก นั้นไม่นานพ่อก็จากไปด้วยโรคประจำตัว ห้องของพ่อเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีธุระจำเป็นจริงๆหรือว่าทำความสะอาด ก็จะไม่มีคนเข้าไปในห้องนั้นเลย ผมเข้ามาเรียนต่อในที่ใหม่มีเรื่องใหม่ ให้พบให้เจอทุกวัน ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อก็จางหายไป....
จน วันหนึ่งผมเจอปัญหา ในหัวของผมมีแต่เรื่องสับสน อยากหนีปัญหาไปไกลๆไม่อยากเจอแม้แต่ผู้คน ผมกลับมาที่บ้านไขกุญแจห้องพ่อแล้วเข้าไปในนั้น ที่ห้องของพ่อทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบเหมือนครั้งที่พ่อยังอยู่ ในห้องเงียบมากผมได้ยิน แม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชีที่พ่อมักจะนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อจะทำอย่างไร จะแนะนำผมอย่างไร แล้วจะช่วยผมแก้ปัญหาอย่างไร ทันใดนั้นผมคิดถึงเรื่องเก่าๆเรื่องนึงขึ้นมา ผมรีบเอากุญแจไขลิ้นชักโต๊ะบัญชี ด้วยความหวังว่ามันจะยังอยู่ เมื่อเปิดลิ้นชักผมก็พบมัน การ์ดสีฟ้าขลิบทองยังดูโดดเด่นอยู่ลิ้นชักของพ่อ มันยังอยู่ ที่เดิมเหมือนทุกครั้ง

  ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผมมากขนาดไหน
   ทุกครั้งที่การ์ดใบนี้หายไปพ่อจะหามันแล้วนำมันมาเก็บไว้ที่เดิม
  ไม่ว่ามันการ์ดที่ไม่มีราคาค่างวดใดๆและแทบจะหาความสวยงามใดๆไม่ได้เลย พ่อก็เก็บมันไว้เสมอ และ
  สิ่งที่พ่อสอนผมด้วยการกระทำมันมากกว่าคำพูดทั้งหมด
  พ่อสอนให้ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง
  ให้มีความอดทนและไม่ท้อแท้กับปัญหาใดใด
   เหมือนพ่อเคยเจอเสมอและผ่านมาได้ทุกครั้ง

ผม รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าปัญหาที่ผมเจอตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กำลังใจจากการ์ดใบนั้นเหมือน จะค่อยๆแผ่ซ่านจากมือเข้ามาสู่หัวใจผม ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกับพ่ออยู่ในนั้น ผมวางการ์ดเก็บไว้ที่ลิ้นชักตามเดิมและออกมาจากห้องของพ่อด้วยความรู้สึกที่ แตกต่าง กับเมื่อตอนที่เข้ามา ก่อนประตูจะปิดลงผมบอกออกไปด้วยความรู้สึกที่พ่อก็มีให้ผมมาตลอดว่า "พ่อครับ ผมรักพ่อ "
  อ้นลูกรัก

จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นก่อนที่พ่อจะจากโลกนี้ไป หวังว่าเมื่อลูกได้อ่านแล้ว จะได้ข้อคิดเพื่อนำไปปฏิบัติในอนาคต เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ทำผิดซ้ำกับที่พ่อเคยทำมาแล้ว การ์ด ที่ลูกเขียนให้พ่อนั้น เป็นการ์ดอวยพรที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของพ่อ พ่อจึงเก็บมันไว้ในลิ้นชักใกล้ตัว และล็อกกุญแจไว้ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเอาการ์ดใบนี้ไปจากพ่อ และเพื่อจะได้หยิบขึ้นมาเชยชมทุกครั้งที่พ่อคิดถึงลูก
ครั้ง แรกที่ลูกนำการ์ดไปซ่อนนั้น พ่อตกใจแทบแย่ นึกว่าตัวเองแก่จนหลงลืมเอาการ์ดไปวางไว้ที่อื่น จนพ่อเจอมันที่ลิ้นชักข้าง ๆ ก็เลยโล่งใจและพ่อก็เข้าใจไปเองว่าลูกคงต้องการจะบอกอะไรกับพ่อโดยไม่ใช้คำ พูด ในครั้งต่อ ๆ มาลูกได้นำการ์ดนั้นไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าบ้าง ในตู้โชว์บ้าง พ่อก็อุตสาห์ตามหามันจนเจอ พ่อรู้สึกว่า เป็นเกมส์แรกในรอบยี่สิบปีที่พ่อได้เล่นกับลูกอย่างสนุกสนาน มันทำให้พ่อนึกถึงวันวานเก่า ๆ ของเราที่เคยเล่นฟุตบอลด้วยกันที่สนามหญ้าข้างบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าคืนวันจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างนี้ พ่อโกรธตัวเองที่ไม่มีเวลาเล่นกับอ้นอย่างที่ใจต้องการ ตอนที่ลูกเล่นฟุตบอลกับเพื่อนจนกลับบ้านดึกนั้น พ่อรู้สึก เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถเป็นเพื่อนเล่นของลูกได้ แม่เคยบอกให้พ่อชวนลูกเล่นฟุตบอลด้วยกันเหมือนแต่ก่อน แต่พ่อคิดว่ามันเป็นเกมส์ของเด็กผู้ชาย จะเอาคนแก่ ๆ อย่างพ่อไปเล่นด้วยก็คงไม่สนุก สุดท้ายพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นห่วงลูกที่ต้องกลับบ้านดึก พ่อเคยผ่านชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยนั้นมาแล้ว จึงต้องเป็นห่วงลูกเป็นธรรมดา แต่ลูกพ่อก็นำชีวิตโลดแล่นผ่านจุดนั้นมาได้อย่างสวยงาม
พ่ออยากบอกว่าพ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะอ้น ใน อดีตนั้นพ่อเคยมีโอกาสจะพูดหลายครั้งว่าพ่อรักอ้น และพ่อภูมิใจที่ได้มีลูกชายที่เป็นคนดีมีความสามารถอย่างลูกอ้น แต่พ่อก็พูดไม่ออก คงเป็นเพราะพ่อเป็น ผู้ชายมั้ง เวลาจะพูดอะไรซึ้ง ๆ สักหน่อยก็ดูเคอะเขินเสียเหลือเกิน การได้สื่อสารกันอย่างไร้เสียง เช่นการเล่นซ่อนหาการ์ดอวยพรนั้น มันก็ดูเป็นผู้ชายดี แม้มันจะไม่ช่วยให้เราเข้าใจตรงกันก็ตาม
พ่อ ไม่โกรธลูกที่ลูกไม่เคยบอกพ่อด้วยคำพูดว่ารักพ่อ เพราะพ่อก็เข้าใจว่าลูกก็เป็นผู้ชาย จะพูดซึ้ง ๆ ก็ไม่เป็น ดังนั้นทุกครั้งที่พ่ออยากรู้ว่าอ้นยังรักพ่ออยู่หรือเปล่า พ่อก็จะตามหาการ์ดใบนั้นมาดู และมันก็ทำให้พ่อสดชื่นขึ้นเสมอ อ้นลูกรัก พ่ออยากจะสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายว่า ถึงแม้ลูกจะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็อย่าอายที่ จะบอกกับลูกของอ้นว่าอ้นรักเขามากเพียงใด อย่าทำผิดเหมือนอย่างพ่อ มีอะไรก็เอาแต่เก็บเอาไว้ไม่ยอมพูด
จดหมาย ฉบับนี้พ่อเขียนที่โรงพยาบาลหลังจากที่ได้รับทราบจากคุณหมอว่า ชีวิตของพ่อเหลืออีกไม่นานแล้ว พ่อสั่งให้แม่แนบจดหมายนี้ไว้กับการ์ดอวยพรของลูกและเก็บไว้ในลิ้นชักเดิม ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าลูกมาเปิดดูลิ้นชักนี้ก็จะได้อ่านจดหมายด้วย ถึงแม้จะสายเกินไปแล้วแต่พ่อก็อยากจะบอกกับอ้นว่า พ่อรักอ้นนะลูก และพ่อภูมิใจในตัวอ้นมากด้วย

                            จากพ่อ...ชายผู้ไม่พูด
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร

เพื่อลูก...

งาน เสริมทำที่บ้าน, หางานเสริม รับมาทำที่บ้าน งานพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ทำงานหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ,อาชีพเสริม ,รายได้เสริม ,งานเสริม part time ,งานเสริม อาชีพ เสริม หลัง เลิก งาน รายได้เสริม  รายได้เสริมหลังเลิกงาน  บทความที่อยากแบ่งปัน เรื่องที่บ่งบอกถึงความพยายาม ความอดทนของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่เกิดมาแสนยากจน แต่ด้วยกำลังใจจากแม่ ที่คอยสนับสนุน ม่ซึ่งอดทนและเสียสละทุกอย่างเพื่อโอกาสของลูก 
 ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex
ขั้นตอนการสมัค Exness

บทความที่อยากแบ่งปัน เรื่องที่บ่งบอกถึงความพยายาม ความอดทนของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่เกิดมาแสนยากจน แต่ด้วยกำลังใจจากแม่ ที่คอยสนับสนุน ม่ซึ่งอดทนและเสียสละทุกอย่างเพื่อโอกาสของลูก
  เรื่องดีๆของอันจินเผิง เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคปี 1997 หนึ่งเหรียญทองที่สร้างขึ้น จากความรักของแม่
  ในปี 1997 เดือนกันยายน วันที่ 28 ที่เทียนสิน นักเรียนมัธยมปีที่ 6 อันจินเผิง ได้รับเหรียญทองชนะเลิศในการแข่งขัน คณิตศาสตร์โอลิมปิคครั้งที่ 38 ณ.ประเทศอาร์เจนติน่า นับเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เมืองเทียนสิน เบื้องหลังความสำเร็จของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์วัย 19 ปีคนนี้ แฝงไว้ด้วยเรื่องราวของความรัก... รักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ทำให้ทุกผู้คนต้องซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
   ปี 1997 กันยายน วันที่ 5 เป็นวันที่ผมจากบ้านไปรายงานตัวที่คณะคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ควันจากเตาหุงข้าวในยามเช้าตรู่ ที่ลอยจากบ้านไร่หลังเก่าอันชำรุดทรุดโทรมของผม คุณแม่ที่ขากระเผลกกำลังทำหมี่ให้ผม เป็นแป้งหมี่ ที่คุณแม่ใช้ไข่ไก่ 5 ฟอง แลกมาจากเพื่อนบ้าน ขาแม่ที่แพลงนั้นเป็นเพราะวันก่อน ท่านคิดจะหาเงินค่าเล่าเรียนให้แก่ผม แล้วพลิกจนขัดยอก ในยามที่กำลังเข็นผักเต็มคันรถเพื่อไปขายในเมือง ยามที่ยกชามขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ผมวางตะเกียบลงแล้วคุกเข่าลงบนพื้น ลูบคลำเท้าของแม่ที่บวมเป่งใหญ่กว่าหมั่นโถวอยู่นาน หยาดน้ำตาทีละหยดๆ ไหลกลิ้งลงสู่พื้น ...
   บ้านของผมอยู่ที่ หมู่บ้านต้าอิ้วไต้ อำเภออู่ซิง เมืองเทียนสิน ผมมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชื่อของท่านเรียกว่า หลี่ เอี้ยน เสีย บ้าน ของผมจนมาก ๆ ตอนที่ผมเกิดมา คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่บนเตียง ในปีที่ผมอายุ 4 ขวบ คุณปู่ก็ป่วยเป็นโรคหือหอบ เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว  พอ 7 ขวบ ผมก็เข้าโรงเรียน ค่าเล่าเรียนก็เป็นคุณแม่ไปหยิบยืมจากผู้อื่น ผมมักจะเก็บเอาดินสอที่เพื่อนนักเรียนโยนทิ้งแล้วกลับมา คุณแม่ปวดใจมาก บางครั้งแม้แต่เงินที่จะซื้อดินสอกับสมุดยังต้องหยิบยืมจากผู้อื่น แต่ทว่า คุณแม่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีใจอยู่ ไม่ว่าการสอบไล่ หรือ สอบซ่อม ผมมักจะสอบได้ที่ 1 เสมอ ยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็มมาตลอด ภายใต้กำลังใจจากแม่
   ผมยิ่งเรียนก็ยิ่งมีความสุข ผมนับว่าไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่เป็นสุขมากไปกว่าการเรียนหนังสือ ผม ยังไม่ทันเข้าเรียนประถมก็เรียนรู้พื้นฐานการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน ทศนิยมแล้ว พอขึ้นประถมก็เรียนรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจต่อวิชาคณิต ฟิสิกส์ เคมี ของชั้นมัธยมต้น
   พฤษภาคม ปี 1994 เมืองเทียนสิน ได้จัดให้มีการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมต้น ผมเป็นเด็กชายลูกชาวนาเพียงคนเดียว ที่สอบติด 3 ลำดับต้น จากนักเรียนที่มาจาก 5 อำเภอชานเมือง
   มิถุนายน ของในปีนั้น ผมได้รับเลือกสรรเป็นกรณีพิเศษ จากโรงเรียนมัธยมต้นอี้จง ของเทียนสิน ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เหมือนดั่งคนเสียสติ แต่คิดไม่ถึง เมื่อบอกข่าวดีให้กับคนทางบ้านฟัง บนใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า คุณย่าเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งปี ชีวิตคุณปู่ก็อยู่ในช่วงอันตราย ที่บ้านติดหนี้เขาหมื่นกว่าหยวนแล้ว
   ผมค่อย ๆ เดินกลับเข้าห้องอย่างสงบ พร้อมทั้งร้องไห้ตลอดทั้งวัน คืนนั้นก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่นอกบ้าน ที่แท้คุณแม่คิดจะเอาลาในบ้านไปขายเพื่อให้ผมได้เรียนต่อ แต่ คุณพ่อคัดค้าน ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด คำพูดที่โต้เถียงกันของพวกท่านได้ยินไปถึงคุณปู่ที่ป่วยหนัก พอคุณปู่กระวนกระวานใจหนัก ท่านก็จึงลาโลกนี้ไปตลอดกาล ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีก นำเอา'ใบแจ้งผลการคัดเลือก'พับอย่างดีแล้ว ยัดเข้าไปในปลอกหมอน แล้วช่วยคุณแม่ทำงานเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
   ผ่านไป 2 วัน ผมและคุณพ่อได้รับรู้พร้อมกันว่า 'ลาหนุ่มหายไปแล้ว' คุณพ่อต่อว่าคุณแม่ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงว่า 'เธอขายลาหนุ่มไป เธอบ้าแล้วหรือ วันข้างหน้าการเพราะปลูกของครอบครัว การขายผลผลิต เธอจะใช้มือไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกหรือ?' 'เธอขายลาหนุ่มได้เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวน พอให้จินเผิงได้เรียน ก็แค่ 1 - 2 เทอมเท่านั้น' วันนั้นคุณแม่ร้องไห้ ท่านใช้น้ำเสียงที่ดุมากตะโกนใส่พ่อว่า “ลูกจะเรียนหนังสือผิดตรงไหน จิ นเผิงสอบเข้ามัธยมอี้จงในเมืองได้ นับเป็นคนเดียวในอู่ชิงที่สอบได้ พวกเราอย่าให้คำว่ายากจน ทำให้อนาคตของลูกต้องสะดุดลง ถึงแม้จะต้องใช้สองมือนี้ไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบก ก็จะให้เขาได้เรียนต่อไป' อาศัยเงิน 600 หยวน (1 หยวนจีน = 4-5 บาท) ที่แม่ขายลาหนุ่มนี้ ผมนับว่าอยากคุกเข่าโขกศรีษะคำนับแม่จริงๆ ผมรักการเรียนมาก แต่ถ้าเรียนต่อไป คุณแม่จะต้องลำบากอีกแค่ไหนต้องทุกข์ยากอีกเท่าไหร่ ?

  ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ผมกลับมาบ้านเอาเสื้อหนาว พบว่าใบหน้าของพ่อเหลืองซีด ตัวผอมจนหนังแห้งหุ้มกระดูก นอนอยู่บนเตียง คุณแม่บอกกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรเป็นไข้หวัดใหญ่ ใกล้จะหายแล้ว” ใครรู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมเอาขวดยาขึ้นมาดูเห็นฉลากภาษาอังกฤษ จึงรู้ว่ายาพวกนี้เป็นยาระงับเซลล์มะเร็ง ผมลากคุณแม่ออกไปนอกห้อง ร้องไห้ไปถามแม่ไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ คุณแม่ก็บอกว่า ตั้งแต่ผมไปเรียนมัธยมอี้จง คุณพ่อก็เริ่มถ่ายเป็นเลือด อาการหนักขึ้นทุกวันๆ คุณแม่ขอยืมเงินมาได้หกพันหยวน พาไปตรวจทั้งที่เทียนสิน ปักกิ่ง สุดท้ายตรวจพบเป็นเนื้องอกในลำไส้ หมอต้องการให้พ่อผ่าตัดโดยเร็ว คุณแม่ก็เตรียมจะไปขอยืมเงินมารักษา แต่คุณพ่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก
ท่านกล่าวว่า ยืมญาติมิตร เพื่อนฝูงจนทั่วแล้ว มีแต่ยืมแต่ยังมิได้จ่ายคืนใครเขาจะให้ยืมอีก !
  วัน นั้น เพื่อนบ้านยังบอกกับผมว่า แม่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการเก็บเกี่ยวซึ่งน่าเศร้ามาก แม่ไม่มีแรงพอที่หาบข้าวสาลีไปที่ตลาดเพื่อนวดข้าว และก็ไม่มีเงินที่จะจ้างคนมาช่วย ท่านได้แต่รอข้าวสุกแปลงหนึ่ง จากนั้นเอาใส่กระดานลากกลับบ้าน ตกเย็นก็ปูผ้าพลาสติกที่ลานใช้สองมือกำข้าวสาลีกำใหญ่ เหวี่ยงฟาดกับก้อนหินเพื่อนวดข้าว... ข้าวสาลี 3 ไร่จีน ( 1 ไร่จีน เท่ากับ 600 ตารางฟุต) ล้วนอาศัยแม่ทำคนเดียว แม่เหนื่อยจนยืนเกี่ยวไม่ไหวจึงคุกเข่าเกี่ยว หัวเข่าถูกสีจนเลือดออก เวลาเดินก็สั่นเทาไปหมด...
  ผม ไม่รอให้เพื่อนบ้านพูดจบ ก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วปานเหินบิน ร้องไห้เสียงดังพูดว่า “ แม่ แม่ ผมไม่สามารถเรียนต่อไปอีกแล้ว ...” ในที่สุด แม่ก็ไล่ให้ผมกลับไปเรียนค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผมอยู่ที่ 60 ถึง 80 หยวน ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนนักเรียนที่ใช้จ่าย 200-240 หยวนแล้ว นับว่าน้อยจนน่าสงสาร มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดนี้ แม่ต้องเก็บสะสมอย่างประหยัด ตั้งแต่ต้นเดือน ทีละหยวนๆ จากการขายไข่ไก่ ขายผัก จริงๆแล้วยามที่รวบรวมไม่ครบยังต้องไปขอยืมอีก 20 หรือ 30 และเท่ากับพ่อ น้องชาย แทบจะไม่เคยได้กินผักเลย ถึงจะมีผักบ้างก็ไม่ใช้น้ำมันหมูคลุกเพียงตักน้ำผักดองมาคลุกกิน หรือทำอาหารกิน แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องหิวโหย
  ทุกเดือนท่านจะเดินสิบกว่าลี้เพื่อซื้อหมี่สำเร็จรูปส่งไปให้ผม ทุกสิ้นเดือนแม่มักจะแบกถุงใบใหญ่ เหนื่อยยากลำบากมาดูผมที่เทียนสิน ภายในถุงนอกจากเศษหมี่สำเร็จรูปแล้ว ยังมีกระดาษที่พิมพ์เสียของโรงพิมพ์ที่ห่างบ้าน 6 ลี้กว่า (นั่นเอาไว้ให้ผมใช้เป็นกระดาษทดเลข) กับเต้าเจี้ยวเผ็ด 1 ขวดใหญ่ ผักกาดเขียวเค็มหั่นเป็นเส้น และเครื่องมือตัดผม 1 อัน(ค่าตัดผมที่ถูกที่สุดในเทียนสินก็ต้อง 5 หยวน) แม่ต้องการให้ผมประหยัดจะได้ซื้อหมั่นโถวไว้กินได้อีกหลายใบ ผมเป็นนักเรียนคนเดียวของมัธยมอี้จง ของเทียนสินที่แม้แต่ผักในโรงอาหารก็ยังไม่สามารถซื้อกิน ได้แต่เพียงแค่ซื้อหมั่นโถว 2 ใบ กลับ มาที่หอพัก ชงเศษหมี่สำเร็จรูปแล้วใส่เต้าเจี้ยวเผ็ดกับผักกาดเค็มกิน ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่สามารถใช้กระดาษต้นฉบับ (แบบฟอร์ม) มาเขียน ได้แต่ใช้กระดาษที่พิมพ์เสียจากโรงพิมพ์มาเขียนต้นฉบับ ผมยังเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่เคยใช้สบู่ เวลาซักเสื้อก็ไปที่โรงอาหารเอากรดโซเดียมจากหมี่ที่เสียแล้วมาใช้แทนสบู่ แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจมาก่อน
  ผม รู้สึกว่าคุณแม่นับเป็นวีรสตรีที่ต่อสู้กับความยากลำบากและความโชคร้าย ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ผมรู้สึกเป็นเกรียรติอย่างไม่อาจเปรียบอีกแล้ว เมื่อเริ่มเข้ามัธยมอี้จง ของเทียนสิน คอร์สแรกของภาษาอังกฤษทำให้ผมฟังจนงงไปหมด ตอนที่แม่มาหาผม ผมได้บอกถึงความวิตกกังวลกลัวว่าภาษาอังกฤษจะเรียนไม่ทันเพื่อน ใครจะรู้ได้ ใบหน้าของแม่กลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า “แม่เพียงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ทนความลำบากที่สุด แม่ไม่ชอบฟังเจ้าพูดว่ายากลำบาก เพราะขอเพียงทนลำบากได้ก็ไม่ยากอีกแล้ว“ ผมจำคำของแม่คำนี้ไว้แล้ว...
  ผม มีอาการติดอ่างเล็กน้อย มีคนบอกกับผมว่า จะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี อันดับแรกต้องให้ลิ้นฟังคำสั่งตัวเอง ดังนั้นผมมักจะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง อมไว้ในปาก จากนั้นก็ขยันท่องภาษาอังกฤษอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นเมื่อได้เสียดสีกับก้อนหิน บางครั้งที่มีเลือดไหลออกมาทางมุมปาก แต่ผมก็กัดฟันยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ครึ่งปีผ่านไป ก้อนหินเล็กๆ ถูกสีจนกลม ลิ้นของผมก็ถูกสีจนเรียบ ผลการเรียนภาษาอังกฤษขยับขึ้นเป็น 3 ลำดับต้นของห้อง ผมต้องขอบคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง คำพูดของท่านทำให้เกิดปาฎิหาริย์ในการก้าวข้ามอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการ ฝึกฝนของผม
  ปี 1996 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิควิชาการที่จัดขึ้นทั่วประเทศในเขตเทียนสินเป็น ครั้งแรก ได้รับรางวัลที่ 1 ในวิชาฟิสิกส์ และรางวัลที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์ ได้เป็นตัวแทนของเทียนสินไปหังโจวเพื่อร่วมแข่งขันโอลิมปิดฟิสิกส์จากทั่ว ประเทศ
  ผม เอารางวัลที่ 1 ของประเทศมามอบให้แม่ จากนั้นก็ไปแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลก' ผมคุมความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ เอาข่าวดี และความมุ่งหวังเขียนใส่จดหมายส่งไปบอกแม่ สุดท้ายผมได้แค่ที่ 2 ผมล้มแผ่ลงบนเตียง ไม่ดื่มไม่กินอะไร แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันของเทียนสิน แต่หากจะทดแทนความเหนื่อยยากลำบากของแม่แล้ว นับว่ายังไม่เพียงพอจริงๆกลับถึงโรงเรียน กลุ่มคุณครูช่วยผมวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้ ผมมักจะคิดให้คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ล้วนได้ดี วิชาเอกที่เลือกมากไป ทำให้ความมุ่งมั่นไม่เป็นหนึ่งเดียว หากว่าตอนนี้ผมมุ่งเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียวต้องสำเร็จแน่

   มกราคม ปี 1997 ในที่สุดในการแข่งขันคณิตศาสตร์ โอลิมปิกทั่วประเทศ ผมก็ชนะเลิศที่ 1 ด้วยคะแนนเต็ม ได้เข้าร่วมกลุ่มฝึกซ้อมระดับประเทศอย่างราบรื่น และในการทดสอบทั้งสิบครั้งนั้นก็ช่วงชิงจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขัน แต่ตามกฏกำหนดไว้ว่า ค่าใช้จ่ายในการไปร่วมการแข่งขันที่อาร์เยนติน่าต้องจัดการเอง จ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว ผมเอาหนังสือที่ต้องเตรียมและเต้าเจี้ยวเผ็ดที่แม่ทำให้ห่อไว้อย่างดี งานที่ตัองเตรียมก็เสร็จสิ้นลง หัวหน้าภาควิชากับอาจารย์คณิตศาสตร์ เห็นผมยังคงใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นสงเคราะห์ให้ ทั้งสีสันขนาดของเสื้อผ้าไม่สมกับตัว เมื่อเปิดตู้เก็บของ ชี้ไปที่แขนเสื้อที่ต่อมาสองครั้ง ชายเสื้อหนาวที่ต่อยาวอีก 3 นิ้ว กับชุดชั้นในที่มีรอยปะ แล้วพูดว่า
   “จินเผิง นี่เป็นเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอหรือ ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไร“ ผมจึงรีบตอบว่า “ครูครับ ผมไม่กลัวขายหน้า คุณแม่บอกกับผมเสมอว่า ในตัวถ้ามีภูมิความรู้ ก็จะมีความสง่าเอง ถึงผมต้องใส่เสื้อพวกนี้ไปอเมริกาพบกับคลินตัน ผมก็ไม่กลัว“
   27 กรกฎาคม โอลิมปิค วิชาการเริ่มขึ้น พวกเรานั่งทำข้อสอบตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงบ่ายสองโมง รวมเวลาในการทำข้อสอบห้าชั่วโมงครึ่ง วันที่สองเป็นวันประกาศผล ก่อนอื่นเป็นการประกาศรางวัลเหรียญทองแดง ผมไม่หวังจะได้ยินชื่อของตัวเอง ถัดจากนั้นก็เป็นรางวัลเหรียญเงิน สุดท้ายประกาศเหรียญทองคนที่หนึ่ง คนสองคน คนที่สามก็คือผม ผมดีใจจนร้องไห้ เรียกพึมพำอยู่ในใจว่า “ แม่ครับ ลูกแม่ทำได้สำเร็จแล้ว” ข่าวการชนะเลิศได้เหรียญทองเหรียญของผมกับเพื่อนอีกคน
   ใน การแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์ของการแข่งขันโอลิมปิควิชาการครั้งที่ 38 นี้ ได้ถูกแพร่กระจายเสียงและแพร่ภาพโดยสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์ แห่งชาติ ในคืนนั้น 1 สิงหาคม ยามที่พวกเรานำเอาเกียรติยศกลับสู่ประเทศนั้น สมาคมวิทยาศาสตร์ และสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศจีน ได้จัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ในยามนี้ ผมคิดจะกลับบ้าน ผมคิดอยากพบหน้าแม่ให้เร็วที่สุด ผมจะนำเอาเหรียญทองที่แวววับจับตานี้แขวนไว้ที่คอของท่าน.....
   สี่ ทุ่มกว่าของคืนวันนั้น ผมฝ่าความมืดจนกลับถึงบ้านที่ผมคิดถึงทุกเช้าเย็น พ่อเป็นคนมาเปิดประตู แต่ว่าผู้ที่โอบผมไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่นก็คือแม่ที่ปราณีของผม ใต้แสงดาวอันแจ่มจรัส แม่กอดผมอย่างแน่นหนา ผมล้วงเหรียญทองออกมาแล้วแขวนไว้ที่บนคอของแม่ แล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง...
   12 สิงหาคมที่นั่งในห้องประชุมโรงเรียนไม่มีว่างเลย แม่กับเหล่าข้าราชการของกรมสามัญศึกษา และเหล่าศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ได้ร่วมกันนั่งเป็นประธานบนเวที
   ใน วันนั้น ผมได้พูดไว้ในงานช่วงหนึ่งว่า 'ผมจะใช้ชั่วชีวิตของผมสำนึกขอบพระคุณคน คนหนึ่ง นั่นคือแม่ที่อบรมเลี้ยงผมจนเติบใหญ่ ท่านเป็นหญิงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านสอนผมให้รู้จักหลักธรรมในการเป็นคน ทั้งยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจผมมาตลอดชีวิต ... ปีทีอยู่มัธยมปีที่ 4 ผมคิดจะซื้อหนังสือ“ พจนานุกรม จีน - อังกฤษ “เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ
   ใน กระเป่าเสื้อของแม่ไม่มีเงินเลย แต่แม่ก็รับปากว่าจะหาให้ หลังอาหารเช้า แม่ยืมรถลากคันหนึ่ง ขนผักกาดขาว เต็มรถแล้วลากไปพร้อมกับผม เพื่อนำไปขายในเมืองที่ไกลถึงสี่สิบลี้ เมื่อถึงตัวอำเภอก็เกือบเที่ยงแล้ว ตอนเช้าผมกับแม่ ดื่มเพียงน้ำซุปข้าวต้มใส่มันเทศกับข้าวโพดแค่ 2 ชาม ในยามที่ท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ แค้นจนอยากให้มีคนมาเหมาซื้อผักไปทันที แต่แม่ยังคงอดทนต่อรองราคากับผู้ซื้อสุดท้ายตกลงกันในราคาชั่งละ 10 เซ็นต์ ผักกาดขาว 210 ชั่ง ควรเป็นเงิน 21 หยวน แต่ผู้ซื้อให้เพียง 20 หยวน
   เมื่อ มีเงินผมคิดจะกินข้าวก่อน แต่แม่บอกให้ซื้อหนังสือก่อน เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญของวันนี้ พวกเราไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งถามราคาหนังสือ ต้องใช้เงิน 18.25 หยวน ซื้อหนังสือเสร็จแล้วยังคงเหลืออยู่ 1.75 หยวน แต่แม่ให้ผม 75 เซ็นต์เพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะ 2 ชิ้น แม้จะกินขนมเปี๊ยะไป 2 ชิ้น แต่รอจนพวกเราแม่ลูกเดินจนเกือบจะถึงบ้าน เป็นระยะทาง 40 กว่าลี้(ของจีน 1 ลี้ = 500 เมตร) ผมก็หิวจนหน้ามืดตาลาย ในยามนี้นึกขึ้นได้ว่าผมลืมแบ่งขนมเปี๊ยะ 1 ชิ้นให้กับแม่ แม่หิวทั้งวัน ยังลากรถเป็นระยะทาง 80 ลี้เพื่อผม
   ผมรู้สึกละอายจนคิดที่จะตบหน้าตนเอง แต่แม่กลับพูดว่า “แม่ ไม่มีความรู้เท่าไร แต่แม่นึกถึงตอนเด็กที่คุณครูเคยให้ท่องคำพูดหนึ่งของกอร์จี ว่า ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง หากว่าเธอสามารถที่จะผ่านด่านมหาวิทยาลัยนี้ไปได้ ไฉนต้องกลัวว่าเป็นมหาวิทยาลัยเทียนสิน แม้แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เธอก็สอบเข้าไปได้ดั่งใจหวังอยู่ ตอนที่แม่พูดคำ ๆ นั้น แม่ไม่มองหน้าผม แม่มองหนทางที่ทอดยาวไกลออกไปเหมือนดั่งว่าทางเส้นนั้น สามารถเชื่อมไปถึงเมืองเทียนสิน...เชื่อมไปถึงเมืองปักกิ่งไม่มีผิด ผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าท้องหิวอีกแล้ว ขาก็ไม่เมื่อยอีกแล้ว
   หากกล่าว ว่า ความยากจนข้นแค้น เป็นมหาวิทยาลัย ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ผมก็จะพูดว่า แม่ที่เป็นหญิงชาวนาของผม เป็นครูผู้นำพาที่ดีที่สุดของชีวิตผม' ...
   ที่ด้านล่างเวทีไม่รู้มีตากี่คู่ ที่คลอด้วยน้ำตา ผมหมุนตัวกลับมา หันไปหาคุณแม่ที่จอนผมเริ่มหงอกขาว แล้วคำนับท่านด้วยใจอันลึกล้ำครั้งหนึ่ง..........
ที่มา: www.teenee.com

ทความที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ